บทความ
ลมยางอ่อน VS ลมยางแข็ง ข้อแตกต่างที่ควรรู้
การขับขี่รถยนต์บนท้องถนนเรื่องลมยางเป็นอีกหนึ่งความปลอดภัยที่ไม่สามารถละเลยได้ เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ส่วนใหญ่สาเหตุมาจากการเติมลงยางไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ขับขี่ไม่ปลอดภัย รวมถึงอาจจะเกิดยางระเบิดอีกด้วย จึงมีข้อถกเถียงต่างๆนาๆ ระหว่างการเติมยางอ่อน กับเติมยางแข็ง วันนี้เราจะพามาดูข้อดี และข้อเสียของการเติมยางทั้ง 2 แบบกันค่ะ
.
ข้อดีของการเติมลมยางอ่อน
การที่เติมยางอ่อนนั้นจะช่วยเรื่องการขับขี่ที่นุ่มนวลขึ้น โดยจะรู้สึกได้จากการขับขี่ช่วงล่างจะเบาสบาย และช่วยยึดเกาะถนนได้ดี
ข้อเสียของการเติมลมยางอ่อน
อาจจะเป็นสาเหตุของยางระเบิดมากที่สุด เพราะหน้ายางที่ย้วยลงมามากซึ่งจะผิดรูปจากเดิม อาจทำให้แก้มยางแตก หากมีความร้อนเข้ามารวมด้วย จะทำให้ยางฉีกขาดและเกิดระเบิดในที่สุด นอกจากนี้นั้นการที่เติมยางอ่อนจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันอีกด้วย เพราะต้องใช้พลังงานในการเร่งรถยนต์เคลื่อนที่มากกว่าเดิม
.
ข้อดีของการเติมลมยางแข็ง
ลมยางที่แข็งจะช่วยให้รถยนต์พุ่งไปข้างหน้าได้ดีขึ้น จะช่วยประหยัดน้ำมัน ทำให้รู้สึกรถมีความเร็วมากขึ้น
ข้อเสียของการเติมลมยางแข็ง
ลมยางที่แข็งเกินไปนั้นจะทำให้ตัวยางยืดมากกว่าปกติ หน้าผิวสัมผัสน้อยลงจึงไม่สามารถยึดเกาะถนนได้ดีมากนัก อาจจะส่งผลต่อการเข้าโค้ง และขณะฝนตก อีกอย่างคือลมยางแข็งจะทำให้ระบบสั่นสะเทือนในรถเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าไม่เป็นผลดีต่อระบบช่วงล่าง เช่น โช๊คอัพและบูชต่างๆ ที่จะทำหน้าที่หนักกว่าเดิม ในขณะเดียวกันยางที่แข็งมาก หากโดนกระแทกเข้าแรงๆ ก็อาจจะระเบิดได้เช่นเดียวกัน
.
ข้อแตกต่างระหว่างลมยางอ่อน VS ลมยางแข็ง
จริงๆแล้วความแตกต่างมากที่สุดจะเป็นเรื่องการกินน้ำมัน กับประหยัดน้ำมันเสียมากกว่า หากดูจากข้อเสียทั้งสองประเภทแล้ว เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุเป็นอย่างมาก ทางที่ดีควรเติมลมยางให้เหมาะสมจะดีที่สุดนั่นเอง
.
ข้อแนะนำในการเติมลมยางที่เหมาะสม
การเติมลมยางที่เหมาะสมให้ดูที่ความดันลมยาง โดยรถแต่ละประเภทมีความดันลมยางที่เหมาะสมแตกต่างกันออกไป และขึ้นอยู่กับขนาดยาง ขนาดรถ และประเภทของรถนั้นๆ ด้วยดังนี้
- รถเก๋งขนาดเล็ก ความดันลมยางที่เหมาะสมประมาณ 25 - 30 PSI
- รถเก๋งขนาดกลาง - ใหญ่ ความดันลมยางที่เหมาะสมประมาณ 30 - 35 PSI
- ขณะที่รถกระบะ ความดันลมยางที่เหมาะสม ไม่ควรเกิน 65 PSI
นอกจากนี้หากเราต้องขับรถทางไกล แนะนำว่าให้เติมเผื่อจากปกติประมาณ 3 - 5 PSI จะดีที่สุด เพราะไม่รู้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ตลอดเส้นทางนะคะ